top of page
  • Writer: สมพันธ์การลงทุน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
    สมพันธ์การลงทุน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
  • Oct 31, 2019
  • 1 min read

ree

สำหรับนัก (อยาก) ลงทุนหลายคนที่มองเห็นโอกาสที่จะสร้างรายได้จากที่อยู่อาศัยสำหรับการท่องเที่ยวที่ไม่รู้จะเริ่มต้นจากจุดไหนดี วันนี้ เรา มีกุญแจ 5 ดอกที่จะช่วยให้คุณเริ่มต้นลงทุนเกี่ยวกับบ้านและคอนโดตากอากาศแบบแน่นๆ มาฝากกันค่ะ

กุญแจดอกที่ 1 : เราลงทุนเพื่ออะไร?

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างพิเศษกว่าการลงทุนแบบอื่น เพราะการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน บ้าน หรือกระทั่งคอนโดตากอากาศนั้น หากคุณไม่รู้เป้าหมายว่าลงทุนไปเพื่ออะไร นั่นจะทำให้การลงทุนนั้นผิดพลาดหรืออาจจะวางแผนการลงทุนผิดไปจากความต้องการที่แท้จริง

บางคนต้องการซื้อเก็บไว้เพื่อใช้พักผ่อนตากอากาศเวลามาพักผ่อนกับครอบครัว บางคน บางคนต้องการลงทุนเพื่อปล่อยให้เช่า หรือบางคนต้องการลงทุนเพื่อเก็งกำไรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

แม้ว่าเป้าหมายการลงทุนทั้ง 3 แบบนั้นแม้จะมีผลลัพธ์คือการซื้อคอนโดตากอากาศเหมือนกันแต่การคิดคำนวณค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นควรตอบคำถามเพื่อสร้างเป้าหมายที่ชัดเจน

กุญแจดอกที่ 2 : ที่ไหนที่เราควรลงทุน?

อย่างที่บอกกันไปแล้วว่าการลงทุนในอสังหาริมทรพย์นั้นมีความพิเศษต่างจากการลงทุนอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด นั่นเพราะการลงทุนแบบนี้สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ทำเลของอสังหาริมทรัพย์นั้นๆ เพราะเมื่อคุณตัดสินใจลงทุนแล้ว และมีสถานที่ๆ หมายตาเอาไว้ ควรคำนึงด้วยว่าบ้านหรือคอนโดตากอากาศควรอยู่ในทำเลที่ตั้งที่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยว เช่น หัวหิน พัทยา หรือภูเก็ต (สำหรับคนส่วนใหญ่มักเลือกไปเที่ยวทะเลมากกว่าท่องเที่ยวภูเขา)

หากทำเลบ้านพักตากอากาศที่เราลงทุนไม่อยู่ในทำเลเหล่านี้ก็อาจจะมีโอกาสในการทำกำไรลดลง

และอย่าลืมว่าก่อนการลงทุนซื้อบ้านพักหรือคอนโดตากอากาศทุกครั้ง สิ่งที่ควรทำคือ การออกสำรวจพื้นที่จริง! นั้นเพราะถึงแม้โครงการจะมีข้อมูลมาให้ก็ตามแต่จงถือคติว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น การที่เราได้ออกสำรวจพื้นที่ด้วยตนเองนอกจากจะเห็นพื้นที่จริง เรายังได้เรียนรู้สภาพพื้นที่อย่างใกล้ชิดทุกสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบโครงการ

กุญแจดอกที่ 3 : เรามีงบในการลงทุนเท่าไหร่?

เมื่อเราเลือกทำเลของคอนโดตากอากาศหรือบ้านพักได้แล้ว สิ่งที่ควรพิจารณาควบคู่ไปด้วยคืองบประมาณที่เรามีเพื่อใช้ในการลงทุน เมื่อเราลงทุนในคอนโดตากอากาศหรือบ้านพัก และเลือกลงทุนแบบปล่อยให้เช่า ก็ต้องคิดคำนวณต้นทุนและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าดูแลรักษาส่วนกลาง ค่าทำความสะอาดและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อที่เราจะสามารถกำหนดราคาค่าเช่าและผลตอบแทนจากการปล่อยเช่ารวมไปถึงสามารถกำหนดกลุ่มของเป้าที่อาจจะเข้ามาเป็นผู้เช่าได้อีกด้วย

แต่หากเลือกลงทุนเพื่อการเก็งกำไรแล้ว อาจจะเน้นเลือกคอนโดตากอากาศที่มีความเป็นส่วนตัวและมีพื้นที่ติดชายฝั่ง หรืออยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวหรือห้างสรรพสินค้าซึ่งแน่นอนว่าราคาที่ดินแถบนั้นย่อมเพิ่มขึ้นทุกปีเช่นกัน

กุญแจดอกที่ 4 : ใครที่จะมาเป็นผู้เช่าของเรา

เราต้องรู้ว่าผู้เช่านั้นมีลักษณะเป็นยังไง จากข้อที่ผ่านมาเราสามารถระบุกลุ่มผู้เช่าได้จากการกำหนดราคาค่าเช่า แต่ในข้อนี้เราจะเลือกคอนโดตากอากาศหรือบ้านพักโดยพิจารณาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวหรือผู้เช่าเป็นหลักเช่น ผู้เช่าเป็นคนต่างประเทศหรือภายในประเทศมากกว่ากัน ยกตัวอย่างแถบหัวหินที่อาจจะเน้นผู้เช่าที่เป็นชาวยุโรป เช่น ชาวเยอรมัน เดนมาร์ก หรือสวีเดน ที่นิยมมาพักผ่อนที่คอนโดพักตากอากาศแถบชายทะเลพร้อมครอบครัว ยิ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน แล้วยังมีบริการที่มีมาตรฐานก็ยิ่งตอบโจทย์ผู้เช่าเป็นที่สุด

เรียกได้ว่าการลงทุนในบ้านหรือคอนโดตากอากาศไม่ใช่เรื่องที่เราต้องใส่ใจแค่ตัวบ้านหรือคอนโดเท่านั้น แต่เราต้องคิดแทนผู้เช่าเพื่อตอบโจทย์ให้ได้ด้วย

กุญแจดอกที่ 5 : คนดูแลบ้านเป็นอย่างไร?

พออ่านมาจนถึงข้อนี้หลายคนก็คงคิดว่าเรื่องนี้สำคัญตรงไหน? ขอบอกก่อนว่าคนดูแลบ้านในที่นี่ไม่ใช่หมายถึงคนที่ดูแลหรือทำความสะอาดบ้าน แต่หมายถึงเจ้าของโครงการที่คอยบริหารจัดการดูแลทั้งเรื่องความปลอดภัย สิ่งอำนวยความสะดวกและการบริการต่อผู้เช่า เพราะตัวคุณไม่ได้อยู่กับตัวผู้เช่าตลอดเวลา ทีมบริหารจัดการต่างหากที่ถือว่าเป็นตัวแทนของคุณ ยิ่งทีมผู้บริหารดูแลเป็นมืออาชีพและบริหารดีมากเท่าไหร่ก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของเราในส่วนนี้ได้มากเท่านั้น

ก่อนลงทุนในบ้านหรือคอนโดตากอากาศ สิ่งแรกสุดที่ควรทำคือการเตรียมตัวให้พร้อม ซึ่งอาจจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนเพื่อเตรียมพร้อมตั้งแต่เรื่องการวางแผน ค้นหาทำเลโครงการ พิจารณาจุดเด่นหรือข้อจำกัดของโครงการและคิดคำนวณผลตอบแทน ซึ่งทุกขั้นตอนนี้หากเราไม่เชี่ยวชาญหรือไม่มีเวลาก็ตาม ก็มีเอเจนซี่ที่เชี่ยวชาญด้านการซื้อขายบ้านพักตากอากาศมาเป็นผู้ช่วย แต่คุณเองก็ควรรู้และศึกษาข้อมูลที่สำคัญๆ ทุกข้อมูลเพราะหากลงทุนพลาดก็อาจเจ็บตัวกันไม่ใช่น้อย

แน่นอนว่าวันนี้นอกจากเราจะนำเสนอเทคนิคการเลือกซื้อคอนโดตากอากาศแล้ว เรายังมีตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่อยากเริ่มต้นลงทุนในคอนโดตากอากาศ ที่ครบครันทั้งด้านการออกแบบที่โดดเด่น ทำเลที่ตั้งโครงการติดชายหาด และอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังแล้วละก็สามารถ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

การลงทุนกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ติดต่อ : 096 -875-0181

 
 
 
  • Writer: สมพันธ์การลงทุน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
    สมพันธ์การลงทุน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
  • Oct 22, 2019
  • 1 min read

ree

หากใครคิดว่า การลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องไกลตัว ต้องมีเงินทุน 20 30 ล้านถึงจะทำได้ วันนี้ ESTO มีตัวเลือกมานำเสนอ นั่นก็คือ กองทุนรวมอสังหาฯ ซึ่งเหมาะกับนักลงทุนมือใหม่ ที่ยังไม่ค่อยมีประสบการณ์, เงินทุนยังไม่เยอะ, ไม่มีเวลามานั่งติดตามตลาด และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่อยากมีเงินเก็บเพิ่มขึ้น หากใครคิดว่า...ตนเองกำลังเป็นเช่นนี้อยู่ล่ะก็ ตามไปอ่านต่อได้เลย

HIGHLIGHT

ผลตอบแทนของกองทุนรวมมี 2 ประเภท ซึ่งจะจ่ายผลตอบแทนให้แตกต่างกันถึงกองทุนรวมอสังหาฯ จะมีความเสี่ยงสูง แต่ไม่ค่อยผันผวนไปตามตลาดหุ้นแนะนำตัวอย่างรายชื่อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ สำหรับที่ผู้สนใจ 

รู้จักกองทุนรวมก่อนสักนิด

กองทุนรวมคืออะไร?

กองทุนรวม (Mutual Fund) คือ การที่เราและคนอื่น ๆ นำเงินไปซื้อหน่วยลงทุน เพื่อรวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ แล้วค่อยให้บริษัทจัดการกองทุนรวม (บลจ.) นำเงินไปบริหารจัดการ โดยที่เรากับคนอื่น ๆ นั่งรอรับผลตอบแทนตามที่ได้กำหนดไว้

ผลตอบแทนจากกองทุนรวม

โดยทั่วไปมีแบ่งเป็น 2 แบบ ได้แก่ 'เงินปันผล' กับ 'ผลต่างราคา (Capital Gain)' ซึ่งทั้งสองตัวจะจ่ายผลตอบแทนให้ต่างรูปแบบกัน โดย...

เงินปันผลจะได้กำไรหลังจากหลังค่าใช้จ่ายแล้วนำเงินมาหารกันตามจำนวนหน่วยที่ซื้อไป โดยจะแบ่งจ่ายเป็นงวดตามที่กำหนด ทุก 3 เดือน, ทุก 6 เดือน แต่ปกติจะไม่เกิน 4 ครั้ง/ปี ขณะที่ผลต่างราคา (Capital Gain) จะขึ้นอยู่กับมูลค่ากองทุนที่เพิ่มขึ้น เช่น ซื้อกองทุนรวมมาก 100 บาท เวลาผ่านไปเราอาจขายหน่วยลงทุนนี้ได้ 150 บาท ซึ่ง 50 บาทที่เพิ่มมาคือกำไร Capital Gain นั่นเอง แถมยังไม่ต้องเสียภาษี 10% เหมือนกับเงินปันผลด้วยClose Ads


ประเภทกองทุนรวม

หากแบ่งกันตามความเสี่ยงแล้ว จะแบ่งได้หลายระดับ ไล่ไปตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำมาก,ความเสี่ยงต่ำ, ความเสี่ยงกลาง, ความเสี่ยงสูงไปจนถึงสูงมาก ซึ่งกองทุนรวมอสังหาฯ ก็เป็นหนึ่งในกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก แต่อย่าเพิ่งตกใจไป เพราะถ้าเราลองประเมินตนเองเองแล้วว่ารับความความเสี่ยงนี้ไหว กองทุนรวมอสังหาฯ ก็เป็นตัวเลือกที่สามารถทำกำไรให้เราได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเลยทีเดียว


แนะนำให้รู้จักกับ กองทุนรวมอสังหาฯ

หากพิจารณาแล้วว่า กองทุนรวมอสังหาฯ (Property Fund) น่าสนใจและอาจเหมาะกับตัวเอง งั้นลองมาทำความรู้จักกับมันเล่น ๆ ก่อนแล้วกัน

กองทุนรวมอสังหาฯ (Property Fund) ในที่นี่จะรวมถึงโรงแรม, ห้างสรรพสินค้า, คอนโดมิเนียม, ทาวน์โฮม, สนามบิน ฯลฯ ด้วย ซึ่งเราสามารถซื้อได้ 2 แบบ คือ กองทุนที่ซื้ออสังหาฯ เป็นของตนเอง กับ กองทุนที่ลงทุนในสิทธิการเช่าของอสังหาริมทรัพย์นั่นเอง

สำหรับกองทุนที่ซื้ออสังหาฯ มาเป็นกรรมสิทธ์ (Freehold) เราจะถือว่าเป็นเจ้าของอสังหาฯ เอง โดยรายได้ของกองทุนจะมาจากการให้เช่าหรือขายอสังหาฯ เมื่อเลิกกองทุนนั้น และผู้ลงทุนจะเงินปันผลมาจากการปล่อยเช่าและค่าส่วนต่างของราคาขายอสังหาฯแต่กองทุนที่ลงทุนในสิทธิการเช่า (Leasehold) เราจะไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาฯ ส่วนรายได้ของกองทุนจะได้จากค่าเช่าระหว่างระยะการทำสัญญาเช่า พอครบกำหนดก็ต้องคืนอสังหาฯ นั้นให้เจ้าของ โดยผู้ลงทุนจะได้เงินปันผลจากการปล่อยเช่าเป็นผลตอบแทน

ลงทุนกับกองทุนรวมอสังหาฯ ยิ่งได้ราคาเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา

เพราะถ้าจะให้หาเงินหลายล้านไปลงทุนเอง ก็คงเป็นไปค่อนข้างยาก ยิ่งทำเลดี ๆ ยิ่งราคาแพง แถมการแข่งขันยังสูงอีก ทางออกที่เป็นไปได้ที่สุดจึงตกมาที่กองทุนรวม เนื่องจากใช้เงินทุนน้อยกว่า แต่สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ได้หลากหลาย ช่วยกระจายความเสี่ยง แถมยังมีสภาพคล่องมากกว่า เพราะกองทุนรวมได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ซื้อง่ายขายก็คล่อง

และต่อให้ช่วงนั้นตลาดหุ้นผันผวนขึ้นลงไปมา แต่เราก็ยังหายใจหายคออยู่ได้ เพราะอัตราผลตอบแทนของกองทุนรวมอสังหาฯ ไม่ค่อยแปรผันกับสินทรัพย์พื้นฐานจำพวกหุ้น หรือตราสารหนี้ ช่วยให้ชีวิตนักลงทุนมือใหม่สบายขึ้น แต่ส่วนมากจะต้องใช้เวลานาน กว่าจะเห็นผลกำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งกองทุนเหล่านี้มักจ่ายเป็นเงินปันผลเพื่อรักษานักลงทุนไว้ไม่ให้หนีหายกันไปไหน

ความเสี่ยงของกองทุนรวมอสังหาฯ

ประโยคที่ว่า “ทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง” ยังใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ แต่สำหรับอสังหาริมทรัพย์แล้ว จะต้องพิจารญาเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นทรัพย์สินขนาดใหญ่และมีความซับซ้อน อย่าง ความเสี่ยงที่มีผลมาจากปัจจัยภายนอก เช่น มีการแข่งขันในทำเลเดียวกันสูงขึ้น หรือปัจจัยภายใน อย่าง การที่ผู้เช่าอสังหาฯ ของกองทุนรวมไม่ยอมจ่ายค่าเช่า

เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้วคิดว่า ตนสามารถรับความเสี่ยงไหว ต่อไปเราจะมาแนะนำ “กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์” น่าสนใจกัน


ตัวอย่างรายชื่อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจ พร้อมบลจ. ที่บริหารจัดการ


กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า ควอลิตี้ เฮ้าส์ โฮเทล แอนด์ เรซิเดนซ์ (QHHR) : บลจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ศาลาแอทสาทร (SSPF) : บลจ. กรุงศรี จำกัดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์แสนสิริ ไพร์มออฟฟิศ (SIRIP) : บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ยูโอบี ฟรีโฮสต์ เอท ทองหล่อ (UOB8TF) : บลจ. ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) : บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (SPWPF) : บลจ. ไทยพาณิชย์ จำกัดกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไทคอน (TFUND) : บลจ. บัวหลวง จำกัด


สรุป การจะเลือกลงทุนกับกองทุนรวมประเภท ควรเลือกให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง ศึกษาระยะเวลาที่มีผลต่อการลงทุน รวมถึงความเสี่ยงของแต่ละกองทุนรวม ว่าเราสามารถรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน โดยธนาคาร หรือบลจ. จะให้เราทำแบบประเมินความเสี่ยงก่อนซื้อกองทุน ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะพิจารณาจากอายุของผู้ลงทุน, จำนวนเงินทุน, ความรู้หรือประสบการณ์ในการลงทุน หากพอมีความรู้ หรือประสบการณ์ก็จะสามารถลงทุนเชิงรุกได้มากขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน ตลอดจนทัศคติ ว่าชอบลงทุนแบบปลอดภัย หรือหวังผลกำไรหนัก ๆ

 
 
 
  • Writer: สมพันธ์การลงทุน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
    สมพันธ์การลงทุน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
  • Oct 22, 2019
  • 1 min read

ree

อสังหาริมทรัพย์นับเป็นสินทรัพย์ลงทุนทางเลือก (Alternative Investments) ที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยสามารถลงทุนได้ทั้ง "ทางตรง" คือ ซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมแล้วปล่อยให้เช่า และ "ทางอ้อม"

คือ ลงทุนผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือกองรีท (Real Estate Investment Trust : REIT)

การลงทุนในอสังหาฯ ทางตรงมีข้อดีมากมาย ที่เด่นชัดที่สุด คือ การได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคารหรือที่ดิน ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ และโดยมากมูลค่าของอสังหาฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินหรือบ้านพร้อมที่ดินมักจะเพิ่มขึ้นในระยะยาว

แต่การลงทุนทางตรงก็มีข้อจำกัดหลายประการ เช่น ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมากเป็นหลักล้านหรือหลายล้านบาท เจ้าของต้องหาผู้เช่าเพื่อสร้างรายได้ แม้ได้ผู้เช่าแล้วก็ต้องคอยตามทวงเก็บเงินค่าเช่า พร้อมทั้งคอยดูแลความเรียบร้อยของทรัพย์สิน อาจมีเหตุให้ต้องซ่อมแซมและบำรุงรักษาอยู่เป็นระยะๆ ทั้งนี้ ข้อจำกัดที่สำคัญที่สุด คือ เรามักได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์เพียง 1-2 ชิ้น ทำให้ไม่ได้กระจายความเสี่ยงมากเท่าที่ควร



ข้อจำกัดหลายประการข้างต้น ทำ ให้นักลงทุนยุคใหม่หันมาลงทุนใน อสังหาฯ "ทางอ้อม" ผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือกองรีทมากขึ้น เพราะเห็นว่าสามารถเริ่มลงทุนได้แม้มีเงินเพียงหลักพันหรือหลักหมื่น มีคนคอยดูแลให้ทั้งหมด ทั้งการหาผู้เช่า เก็บค่าเช่า ซ่อมแซม บำรุงรักษา และที่สำคัญ คือ สามารถกระจายเงินลงทุนได้ในอสังหาฯ ที่หลากหลาย ทั้งแบบกระจายหลายประเภท (อาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า) และกระจายหลายประเทศ (ไทย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ฯลฯ)


ในประเทศไทย แต่เดิมมีการลงทุนทางอ้อมเพียงรูปแบบเดียว คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ต่อมาได้มีการลงทุนรูปแบบใหม่ คือ กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) ทั้งสองรูปแบบเป็นการลงทุนทางอ้อมแบบชั้นเดียว โดยมีลักษณะดังนี้


1.กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) คือ กองทุนรวมซึ่งนำเงินที่ระดมได้จากการขายหน่วยลงทุนไปลงทุนซื้อหรือเช่าอสังหาฯ เช่น อาคารสำนักงาน โรงงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า สนามบิน ที่อยู่อาศัย อพาร์ตเมนต์ หรือหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ ตามที่กฎหมายกำหนด โดยมีจุดมุ่งหมายหลักก็เพื่อบริหารอสังหาฯ ที่ลงทุนนั้นให้ได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในรูปของค่าเช่าหรือกำไรสุทธิที่เกิดจากการดำเนินงาน (ไม่ได้มุ่งที่จะลงทุนในอสังหาฯ เพื่อพัฒนา และขายต่อแต่อย่างใด)


2.กองทรัสต์เพื่อการลงทุนใน อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trust : REIT) เป็นกองทรัพย์สินที่ ลงทุนในอสังหาฯ มีลักษณะเป็นกองทรัสต์ ไม่ใช่นิติบุคคลเหมือนกองทุนอสังหาฯ โดยสินทรัพย์ที่ต้องลงทุนในอสังหาฯ ต้องไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ถือกรรมสิทธิ์โดยทรัสตี (Trustee) ซึ่งทรัสตีมีอำนาจดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินใน กองทรัสต์

รวมทั้งดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของ ผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager) เพื่อประโยชน์ของผู้ถือใบทรัสต์ โดยที่ผู้ถือ ใบทรัสต์จะเป็นผู้รับประโยชน์ในทรัพย์สินของกองทรัสต์ โดย REIT จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย



 
 
 
bottom of page